ทำไมลูกถึงหน้าไม่เหมือนพ่อแม่? วิเคราะห์จากมุมมองพันธุกรรม วิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม

แม้ว่าบุตรจะได้รับ DNA จากพ่อแม่โดยตรง แต่หลายๆครอบครัวกลับพบว่าลูกของตน “หน้าไม่เหมือนพ่อ/แม่ เลย” ทั้งที่เป็นสายเลือดเดียวกัน ความรู้สึกเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ และมีคำอธิบายจากทั้งพันธุกรรม การแสดงออกของยีน ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์ ดังนี้

1. ยีนที่แสดงออกและไม่แสดงออก (Dominant and Recessive Genes)

ในกระบวนการถ่ายทอดพันธุกรรม ลูกจะได้รับยีนจากพ่อแม่คนละประมาณ 50% แต่ยีนที่ปรากฏบนร่างกายอาจไม่ได้มาจากทั้งสองฝ่ายอย่างสมดุล ยีนบางตัวมีลักษณะ “เด่น” (dominant) และจะถูกแสดงออก ขณะที่บางตัวยีน เป็นยืน“แฝง” (recessive) และไม่แสดงออกในรุ่นนี้ แม้จะยังถูกส่งต่อไปยังรุ่นถัดไปได้ (Alberts et al., 2002)

ตัวอย่าง: เด็กที่พ่อแม่ตาสีน้ำตาล อาจมีลูกตาสีฟ้า หากทั้งสองฝ่ายมียีนแฝงของตาสีฟ้าอยู่

2. ลักษณะทางพันธุกรรมหลายยีน (Polygenic Traits)

ลักษณะใบหน้า เช่น โครงหน้า สีผิว หรือความสูง ไม่ได้เกิดจากยีนตัวเดียว แต่เป็นผลของ หลายยีนที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งส่งผลแบบเสริมกัน ลดทอนกัน หรือปิดการทำงานกันได้ (Claes et al., 2018) ทำให้ลักษณะบางอย่างที่ปรากฎออกมาอาจจะไม่เหมือนคุณแม่ หรือคุณพ่อก็ได้

งานวิจัยจาก Nature Genetics พบว่ายีนที่ควบคุมลักษณะใบหน้ามีมากกว่า 20 ชุด และสามารถทำงานซ้อนกันในรูปแบบที่ไม่สามารถทำนายได้ล่วงหน้า (White et al., 2019)

3. ปัจจัยนอกเหนือจากพันธุกรรม

ปัจจัยอื่นๆนอกเหนือจากพันธุกรรม ก็ส่งผลต่อรูปลักษณ์ของลูกได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น:

  • อาหารของแม่ขณะตั้งครรภ์ หากแม่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงและขาดสารอาหาร อาจส่งผลต่อการพัฒนาร่างกายของเด็ก เช่น ความอ้วนหรือความสูงต่ำในอนาคต

  • สิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อรูปลักษณ์ของพ่อแม่ เช่น หากพ่อผิวคล้ำจากแสงแดดตลอดเวลา อาจดูไม่เหมือนลูกที่ช่วงแรกเกิดยังไม่ได้โดนแสงแดด หรือสภาพแวดล้อมนั้นๆ

  • ฮอร์โมนและอายุของลูก ทำให้ลักษณะบางอย่างของเด็กเปลี่ยนแปลงตามวัย เช่น แรกเกิดอาจจะมีสีผมอ่อน แต่เมื่อโตขึ้นก็มีสีผมที่เข้มขึ้นได้

4. การกลายพันธุ์ (Mutation)

บางครั้ง การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมอาจเกิดขึ้นแบบสุ่มในกระบวนการแบ่งเซลล์ ทำให้เด็กมีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใครในครอบครัวเลย เช่น โครงหน้า สีผิว หรือลักษณะร่างกายผิดปกติ (Crow, 2000) เช่น ผิวเผือก (albinism) อาจเกิดจากการกลายพันธุ์ใหม่ ทำให้ลูกมีผิวเผือก โดยที่ไม่เคยมีคนในครอบครัวคนใดเป็นผิวเผือกเลยก็ได้

5. สถิติและความเป็นไปได้

แม้จะมีเทคโนโลยีทางพันธุกรรมมากมายในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยังยอมรับว่ามี ความไม่แน่นอนราว 30% ในการทำนายลักษณะทางกายภาพของลูกจากยีนของพ่อแม่ (White et al., 2019) สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า แม้ลูกจะเป็นสายเลือดแท้ แต่ก็อาจไม่ “หน้าเหมือน” พ่อแม่เลยก็ได้

📊 นักวิจัยจาก University of Pittsburgh ศึกษาโครงสร้างใบหน้าในคนกว่า 6,000 คน และพบว่ายีนเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำนายใบหน้าได้อย่างแม่นยำ

6. การรับรู้ของผู้ปกครอง: เราเห็นสิ่งที่อยากเห็นหรือไม่เห็นสิ่งที่มีอยู่?

หลายครั้ง การรับรู้ของพ่อแม่อาจบิดเบือนจากอคติหรืออารมณ์ งานวิจัยจากปี 1995 โดย Christenfeld & Hill แสดงว่า ผู้คนมักมองว่าเด็กหน้าเหมือนแม่หรือพ่อมากกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้แม้ว่าเด็กอาจดูไม่เหมือนพ่อแม่ในวัยผู้ใหญ่ แต่เมื่อนำภาพวัยเด็กมาเทียบกัน ก็อาจพบความเหมือนของพ่อและแม่กับลูกที่ไม่เคยสังเกตเห็นก็ได้

7. การตรวจ DNA เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ทางสายเลือด

ในกรณีที่มีข้อสงสัยอย่างรุนแรง การตรวจ DNA เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในการยืนยันความเป็นบิดามารดา ด้วย ความแม่นยำกว่า 99.99% (Gunn et al., 2006) และสามารถทำได้จากตัวอย่างเลือดหรือน้ำลายแม้ในเด็กเล็กแรกเกิด

หากต้องการนัดตรวจ DNA พิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือด ระหว่าง พ่อลูก, แม่ลูก หรือ พ่อแม่ลูก สามารถติดต่อได้ที่

LINE ID : @HealthSmile หรือคลิกที่ลิงค์นี้ : https://lin.ee/4CIgU8r

ค่าตรวจ 12,000 บาท พร้อมบริการถึงบ้านทั่วประเทศ

อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับแพคเกจได้ที่นี่ https://healthsmile.co.th/dna-paternity-test/

สรุป

การที่ลูกมีลักษณะใบหน้าไม่เหมือนพ่อแม่ไม่ได้หมายความว่ามีสิ่งผิดปกติ หรือไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่มาจากกระบวนการพันธุกรรมที่ซับซ้อน การแสดงออกของยีน การกลายพันธุ์ ปัจจัยสิ่งแวดล้อม และแม้กระทั่งการรับรู้ของเราเอง อย่างไรก็ตาม หากมีความกังวลใจเกี่ยวกับความเป็นสายเลือด การตรวจ DNA ถือเป็นแนวทางทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้


เอกสารอ้างอิง

  • Alberts, B. et al. (2002). Molecular Biology of the Cell. Garland Science.

  • Claes, P. et al. (2018). Genome-wide mapping of global-to-local genetic effects on human facial shape. Nature Genetics, 50, 414–423.

  • Collins, F. S., Green, E. D., Guttmacher, A. E., & Guyer, M. S. (2003). A vision for the future of genomics research. Nature, 422(6934), 835–847.

  • Crow, J. F. (2000). The origins, patterns and implications of human spontaneous mutation. Nature Reviews Genetics, 1(1), 40–47.

  • White, J. D. et al. (2019). Insights into the genetic architecture of the human face. Nature Genetics, 51, 768–778.

  • Gunn, P. R. et al. (2006). Validation of DNA testing in human identification: A comparative analysis. Forensic Science International, 160(1), 1–9.

  • Christenfeld, N., & Hill, E. A. (1995). Whose baby are you? Nature, 378(6558), 669.

Last Updated on 9 เมษายน 2025 by นพ.ประสิทธิ์ วิริยะกิจไพบูลย์