แอบเก็บ DNA ของคนอื่นไปตรวจความสัมพันธ์ทางสายเลือด ผิดกฎหมายไหม?

สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ

  • DNA เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวสูง (Sensitive Data) การเก็บหรือนำไปใช้ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของตามกฎหมาย PDPA

  • การแอบเก็บ DNA ผิดกฎหมาย อาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิทางแพ่ง (มาตรา 420), ผิดอาญา (หากนำไปใช้ในทางหมิ่นประมาทหรือข่มขู่) และมีโทษปรับสูงสุดถึง 5 ล้านบาท

  • ข้อยกเว้น ได้แก่ กรณีมีคำสั่งศาล การตรวจเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือตรวจโดยได้รับความยินยอมที่ชัดเจนจากเจ้าของ DNA

  • กรณีศึกษาทั้งไทยและต่างประเทศ ชี้ให้เห็นว่า การแอบตรวจ DNA สร้างปัญหาทั้งทางกฎหมายและครอบครัว เช่น ศาลอังกฤษวินิจฉัยว่าพ่อที่แอบตรวจ DNA ลูกโดยไม่บอกแม่ถือว่าละเมิดสิทธิ

  • แนวทางที่ถูกต้อง หากต้องการตรวจ DNA ควรทำโดยโปร่งใส ได้รับความยินยอม และใช้บริการห้องแล็บที่ได้มาตรฐาน (Legal Test + Chain of Custody) เพื่อความถูกต้องและป้องกันปัญหาภายหลัง

ในยุคปัจจุบัน การตรวจ DNA ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์หรือการสืบสวนอาชญากรรมอีกต่อไป แต่ยังถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ทางสายเลือด เช่น การตรวจความเป็นบิดา–บุตร การตรวจพี่น้อง หรือแม้กระทั่งการตรวจเพื่อยืนยันความเกี่ยวพันทางเครือญาติในกรณีมรดกและการอพยพย้ายถิ่นฐานหรือขอสัญชาติได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม คำถามที่หลายคนสงสัยคือ หากเรา “แอบเก็บ DNA ของผู้อื่น” เช่น เส้นผม แก้วน้ำ หรือไหมขัดฟัน แล้วนำไปตรวจโดยไม่ได้รับความยินยอม จะถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่? บทความนี้จะพาไปสำรวจทั้งแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ กฎหมาย จริยธรรม และแนวทางที่ถูกต้อง


การตรวจ DNA คืออะไร?

DNA (Deoxyribonucleic Acid) คือสารพันธุกรรมที่บ่งบอกถึงลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล และถูกถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกหลานอย่างเป็นระบบ การตรวจ DNA จึงสามารถระบุความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้อย่างแม่นยำ

การตรวจความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่พบบ่อย ได้แก่:

  • การตรวจบิดา–บุตร (Paternity Test) ใช้ยืนยันว่าเด็กเป็นบุตรของบิดาที่สงสัยหรือไม่

  • การตรวจมารดา–บุตร (Maternity Test) แม้จะพบไม่บ่อย แต่ใช้ยืนยันความสัมพันธ์ในบางกรณี เช่น การสลับตัวเด็กแรกเกิด

  • การตรวจพี่น้อง (Sibling Test) ใช้ยืนยันว่าบุคคลสองคนมีบิดาหรือมารดาร่วมกันหรือไม่

  • การตรวจปู่ย่า–หลาน หรือ ตายาย–หลาน หรือ ลุงป้าน้าอา-หลาน (Avuncular Test) ใช้เมื่อต้องการพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางเครือญาติอื่นๆ

ผลการตรวจ DNA มักมีความถูกต้องมากกว่า 99% ในการยืนยันความสัมพันธ์ และเกือบ 100% ในการปฏิเสธว่าทั้งสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด

อ่านเพิ่ม : ความแม่นยำของการตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยันความเป็นบิดาหลังคลอด

อ่านเพิ่ม : ตรวจ DNA พิสูจน์ความสัมพันธ์ (พ่อ-แม่-ลูก, พี่-น้อง) ได้จากสิ่งใดบ้าง?


กฎหมายและสิทธิส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้อง

ประเทศไทยมีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเก็บและใช้ข้อมูล DNA โดยเฉพาะในแง่ของ “สิทธิในร่างกาย” และ “สิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล” เช่น

  1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

    • มาตรา 420 ว่าด้วยการละเมิด “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

    • ดังนั้น หากมีการนำสิ่งของหรือข้อมูลทางชีวภาพของผู้อื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจนก่อให้เกิดความเสียหาย ถือเป็นการละเมิดสิทธิ

  2. ประมวลกฎหมายอาญา

    • อาจตีความได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิในร่างกาย หรือการนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้โดยไม่ชอบ หรือเป็นการลักทรัพย์

  3. พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA)

    • กำหนดว่า DNA เป็น “ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว (sensitive personal data)”

    • การเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูล DNA โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของ เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย มีโทษทั้งทางแพ่งและอาญา

  4. สิทธิมนุษยชนสากล

    • หลักสิทธิมนุษยชนระบุว่า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิในร่างกายและข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง


แอบเก็บ DNA ผิดกฎหมายหรือไม่?

จากข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายด้านบน จะเห็นได้ว่าการแอบเก็บ DNA ของบุคคลอื่น เช่น เก็บจากเส้นผม เล็บ แปรงสีฟัน ไหมขัดฟัน หรือบุหรี่ที่มีร่องรอยชีวภาพ แล้วนำไปตรวจโดยไม่ได้รับความยินยอม มีความเสี่ยงดังนี้:

  • ละเมิดสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA): เนื่องจาก DNA จัดเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวสูง

  • ความผิดฐานละเมิด (ประมวลกฎหมายแพ่ง): หากผลตรวจถูกนำไปเผยแพร่จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงหรือความสัมพันธ์

  • อาจเข้าข่ายความผิดทางอาญา: หากการนำ DNA ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการหมิ่นประมาท ข่มขู่ หรือการปลอมแปลงเอกสาร


ข้อยกเว้นและกรณีที่กฎหมายอนุญาต

แม้จะมีข้อห้าม แต่กฎหมายก็มีข้อยกเว้นบางประการ เช่น:

  1. กรณีมีคำสั่งศาล เช่น ศาลสั่งให้มีการตรวจ DNA เพื่อตัดสินคดีความ

  2. การตรวจเพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น งานนิติวิทยาศาสตร์ในคดีอาญา การพิสูจน์ศพ หรือเหตุการณ์ภัยพิบัติ

  3. การตรวจโดยได้รับความยินยอม หากคู่ตรวจให้ความยินยอมโดยชัดแจ้ง หรือมีหลักฐานชัดเจนในการยินยอม เช่น เข้ามาตรวจพร้อมกัน หรือมีหลักฐานในการพูดคุยให้คำยินยอมกัน ไม่ว่าจะเป็น การให้อนุญาติด้วยวาจา ทางโทรศัพท์ หรือแอปพลิเคชั่นแชทต่างๆ ก็สามารถใช้ได้ แต่ทั้งนี้แนะนำให้เก็บหลักฐานคำยินยอมดังกล่าวนั้นไว้ด้วยเผื่อกรณีเกิดปัญหาในภายหลัง


แนวทางที่ถูกต้องหากต้องการตรวจ DNA

เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายและจริยธรรม ผู้ที่ต้องการตรวจ DNA ควรปฏิบัติดังนี้:

  1. ขอความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากคู่ตรวจ

  2. เลือกห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน เช่น AABB, ISO

  3. หากต้องใช้ในศาล ต้องทำการตรวจแบบ Legal Test โดยมีขั้นตอนการเก็บเก็บสิ่งส่งตรวจตามมาตรฐาน Chain of Custody ที่ชัดเจน


เฮลท์สไมล์ ร่วมกับ Endeavor DNA ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้มาตรฐาน AABB และมาตรฐานอื่น ให้บริการตรวจพิสูจน์ความเป็นบิดา ด้วยความแม่นยำมากกว่า 99.9%

ราคา 12,000 บาท

สนใจติดต่อที่ LINE ID : @HealthSmile


กรณีศึกษา: เมื่อการแอบเก็บ DNA กลายเป็นคดีความ

1. กรณีในประเทศไทย

แม้ในประเทศไทยยังไม่ค่อยมีข่าวใหญ่เกี่ยวกับ “การแอบเก็บ DNA” โดยตรง แต่เคยมีหลายกรณีที่ศาลใช้การตรวจ DNA เป็นหลักฐานสำคัญ เช่น คดีพิสูจน์บิดา–บุตรเพื่อเรียกร้องสิทธิทางมรดก หรือคดีลักพาตัวเด็ก ซึ่งในหลายครั้งมีการโต้แย้งกันว่าการเก็บตัวอย่าง DNA ได้มาด้วยวิธีที่ถูกต้องหรือไม่

ในบางกรณี ญาติพยายามนำตัวอย่าง DNA ของผู้ตายไปตรวจโดยไม่แจ้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ภรรยา/ลูกหลาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดการฟ้องร้องภายหลังว่าการเก็บ DNA ละเมิดสิทธิ แม้จะยังไม่ปรากฏเป็นคดีเด่นชัดในสื่อ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเตือนว่า การทำเช่นนี้มีความเสี่ยงสูงหากไม่มีคำสั่งศาลรองรับ

2. กรณีในต่างประเทศ

  • สหรัฐอเมริกา: มีคดีที่พนักงานเก็บเส้นผมและขยะจากบ้านผู้ต้องสงสัยคดีอาญาเพื่อนำไปตรวจ DNA โดยไม่มีหมายศาล ศาลบางรัฐอนุญาตเนื่องจากถือว่าขยะเป็นสิ่งที่เจ้าของ “สละสิทธิความเป็นส่วนตัวไปแล้ว” แต่บางรัฐกลับตัดสินตรงกันข้าม ทำให้เกิดการถกเถียงถึงสิทธิในร่างกายและความเป็นส่วนตัว

  • สหราชอาณาจักร: เคยมีกรณีที่ชายคนหนึ่งแอบนำตัวอย่าง DNA ของลูกไปตรวจหาความเป็นบิดาโดยไม่บอกภรรยา เมื่อผลตรวจออกมา กลับกลายเป็นปัญหาครอบครัวใหญ่ และศาลวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวละเมิดสิทธิของเด็กและมารดา

จากกรณีเหล่านี้ จะเห็นว่าแม้ต่างประเทศเองก็ยังมีความท้าทายในการตีความว่า “สิทธิใน DNA” อยู่ที่ใครและมีขอบเขตแค่ไหน แต่โดยหลักการทั่วไป ศาลและสังคมให้ความสำคัญกับ สิทธิความเป็นส่วนตัวและความยินยอมของเจ้าของ DNA


มุมมองด้านจริยธรรม

แม้บางกรณีอาจไม่ถูกดำเนินคดีทางกฎหมายโดยตรง แต่ทางด้านจริยธรรมก็มองว่าการแอบเก็บ DNA ถือเป็นการ ไม่เคารพศักดิ์ศรีและสิทธิของผู้อื่น การทำเช่นนี้อาจส่งผลกระทบที่ไม่อาจย้อนคืนได้ เช่น การเปิดเผยความจริงเรื่องบิดา–บุตรที่ไม่มีใครพร้อมรับ การแตกแยกในครอบครัว หรือแม้กระทั่งการตีตราในสังคม


บทสรุป

จากกรณีศึกษาและการวิเคราะห์ทางกฎหมาย จะเห็นได้ว่า การแอบเก็บ DNA ของผู้อื่นไม่เพียงแต่เสี่ยงต่อการ ละเมิดกฎหมาย PDPA และกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา แต่ยังสร้างปัญหาด้าน ความสัมพันธ์ ครอบครัว จริยธรรม และสังคมด้วย

ดังนั้น คำตอบที่ชัดเจนคือ :

👉 การแอบเก็บ DNA ของผู้อื่นไปตรวจความสัมพันธ์ทางสายเลือด ถือว่าผิดกฎหมายและไม่ควรกระทำ

ผู้ที่ต้องการตรวจ DNA ได้รับความยินยอมจากทุกฝ่าย และใช้บริการห้องแล็บที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ผลตรวจมีความน่าเชื่อถือและไม่สร้างปัญหาตามมาในอนาคต


เฮลท์สไมล์ ร่วมกับ Endeavor DNA ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้มาตรฐาน AABB และมาตรฐานอื่น ให้บริการตรวจพิสูจน์ความเป็นบิดา ด้วยความแม่นยำมากกว่า 99.9%

ราคา 12,000 บาท

สนใจติดต่อที่ LINE ID : @HealthSmile หรือโทร 0898749565