ในยุคที่เทคโนโลยีทางพันธุกรรมก้าวหน้าอย่างมาก “การตรวจ DNA พิสูจน์ความเป็นบิดา” ไม่ได้เป็นเรื่องซับซ้อนหรือไกลตัวอีกต่อไป เพราะสามารถตรวจได้ตั้งแต่เด็กยังอยู่ในครรภ์จนถึงทุกช่วงอายุหลังคลอด หลายครอบครัวอาจสงสัยว่า — “เด็กเล็กขนาดนี้ตรวจได้ไหม?” หรือ “ต้องรอให้โตถึงจะตรวจได้หรือเปล่า?”
คำตอบคือ สามารถตรวจได้ทุกช่วงอายุ และหากใช้วิธีที่ถูกต้อง ผลตรวจจะมีความแม่นยำเท่ากันทุกวัย

บทความนี้จะพาคุณเข้าใจตั้งแต่หลักการตรวจ วิธีเก็บตัวอย่างในแต่ละช่วงวัย ไปจนถึงข้อควรรู้ทั้งด้านกฎหมายและจิตใจ เพื่อช่วยให้การตัดสินใจตรวจ DNA เป็นไปอย่างมั่นใจและปลอดภัยที่สุด


1. DNA คืออะไร และทำไมใช้พิสูจน์ความเป็นบิดาได้

DNA (ดีเอ็นเอ) คือรหัสพันธุกรรมที่อยู่ในทุกเซลล์ของร่างกายมนุษย์ เด็กจะได้รับ DNA จากพ่อและแม่อย่างละครึ่ง การตรวจ DNA พิสูจน์ความเป็นบิดาจึงใช้การ “เปรียบเทียบตำแหน่งพันธุกรรม (loci)” ระหว่างเด็กและบุคคลที่อ้างว่าเป็นพ่อ หากพบว่าตรงกันในสัดส่วนที่ถูกต้อง ผลตรวจจะสามารถระบุได้ว่าเป็นบิดาทางพันธุกรรมจริงหรือไม่ ด้วยความแม่นยำสูงกว่า 99.999%


2. เด็กสามารถตรวจ DNA ได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่

คำตอบคือ “ได้ตั้งแต่แรกเกิด”
เนื่องจากโครงสร้าง DNA ของคนเรานั้น ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเด็กแรกคลอด เด็กโต หรือผู้ใหญ่ ตัวอย่าง DNA ที่เก็บได้จะให้ผลเที่ยงตรงเท่ากันทุกกรณี

  • เด็กแรกเกิด – ตรวจได้ทันทีหลังคลอด
    ใช้ตัวอย่างจาก “เซลล์ที่หลุดลอกอยู่ในปาก” โดยป้ายกระพุ้งแก้มด้วยอุปกรณ์เก็บ DNA (buccal swab) ไม่ต้องเจาะเลือด และไม่ทำให้เด็กเจ็บตัว

  • เด็กโตทุกช่วงวัย – ตรวจได้ตลอดเวลา
    วิธีการเก็บตัวอย่างเหมือนกัน แต่ควรหลีกเลี่ยงช่วงที่เด็กเพิ่งรับประทานอาหาร เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของตัวอย่าง

  • วัยรุ่นและผู้ใหญ่ – สามารถเก็บตัวอย่างเองได้
    ภายใต้คำแนะนำของเจ้าหน้าที่ โดยส่งกลับห้องแล็บผ่านช่องทางที่กำหนดได้เลย

กล่าวได้ว่า “อายุไม่ใช่ข้อจำกัดของการตรวจ DNA” แต่สิ่งสำคัญคือ “ความสะดวกในการเก็บตัวอย่าง” และ “การได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง” หากผู้ตรวจยังไม่บรรลุนิติภาวะ

นอกจากนี้ หากทารกยังอยู่ในครรภ์ ณ ปัจจุบันเราสามารถตรวจพิสูจน์ความเป็นบิดาได้ตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ เรียกว่าการตรวจ NIPPT (Non-Invasive Prenatal Paternity test) ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้นทำให้เราสามารถเก็บเศษ DNA ของทารกที่ลอยอยู่ในเลือดแม่ (Cell free fetal DNA : cff-DNA) มาตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์เพียง 7 สัปดาห์ โดยมีความแม่นยำอยู่ที่ 99.9% เช่นกัน


3. การตรวจ DNA ก่อนคลอด (Prenatal Paternity Test)

สำหรับผู้ที่ต้องการทราบความเป็นบิดาก่อนคลอด ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า
การตรวจ DNA ก่อนคลอดแบบไม่ต้องเจาะน้ำคร่ำ (Non-Invasive Prenatal Paternity Test – NIPPT)

🔹 ตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 7 สัปดาห์ขึ้นไป

เพียงเก็บเลือดของคุณแม่เพื่อนำ DNA ของทารกที่ลอยอยู่ในกระแสเลือดมาวิเคราะห์ ร่วมกับตัวอย่างจากบุคคลที่อ้างว่าเป็นบิดา
ไม่ต้องเสี่ยงต่อการแท้ง เพราะไม่ใช่การเจาะน้ำคร่ำหรือเก็บเซลล์จากรก

🔹 ความแม่นยำสูงกว่า 99.9%

เทคโนโลยี NIPPT ใช้วิธีถอดรหัสพันธุกรรมจากเลือดของแม่ที่มีเศษ DNA ของทารกอยู่ ทำให้สามารถพิสูจน์ความเป็นบิดาได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย

🔹 เหมาะกับใครบ้าง

  • คู่ที่ต้องการยืนยันข้อมูลก่อนคลอดเพื่อการวางแผนชีวิต

  • กรณีที่ต้องการเตรียมเอกสารทางกฎหมาย เช่น การจดทะเบียนบุตรหรือขอสิทธิ์เลี้ยงดู

  • ผู้ที่ต้องการรู้ความจริงเพื่อคลายความกังวล โดยไม่กระทบต่อสุขภาพของแม่และลูก


4. วิธีการเก็บตัวอย่าง DNA ในเด็กแต่ละช่วงวัย

ช่วงอายุ วิธีเก็บตัวอย่าง ความรู้สึกของเด็ก หมายเหตุ
แรกเกิด – 1 ปี ป้ายกระพุ้งแก้มด้วยสำลี (Buccal swab) ไม่เจ็บ ไม่ต้องใช้เข็ม งดนมหรืออาหารก่อนเก็บ 30 นาที
1 – 5 ปี เจ้าหน้าที่ป้ายกระพุ้งแก้ม หรือให้ผู้ปกครองช่วยจับเบา ๆ เด็กอาจงอแงเล็กน้อย ใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที
6 ปีขึ้นไป เด็กสามารถเก็บตัวอย่างเองได้ ไม่มีความเจ็บปวด เจ้าหน้าที่แนะนำขั้นตอน

💡 คำแนะนำจากแล็บ:
การเก็บตัวอย่างด้วย swab ควรหมุนให้สัมผัสเนื้อเยื่อด้านในกระพุ้งแก้ม 10–15 วินาที และพักตัวอย่างให้แห้งก่อนบรรจุซองเพื่อป้องกันเชื้อรา


5. ผลตรวจ DNA มีความแม่นยำแค่ไหน

  • การตรวจ DNA ใช้เทคโนโลยี PCR และ STR (Short Tandem Repeat)
    ซึ่งสามารถตรวจเปรียบเทียบรหัสพันธุกรรมมากกว่า 20–30 ตำแหน่ง

  • หาก DNA ของเด็กและผู้ถูกกล่าวอ้างเป็นบิดา “ไม่ตรงกันในหลายตำแหน่ง” ผลตรวจจะสามารถ ยืนยันการไม่เป็นบิดาได้ 100%

  • แต่ถ้า “ตรงกันทั้งหมด” จะถือว่าผู้ตรวจมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นบิดาทางพันธุกรรม

🔸 เพื่อให้ผลตรวจเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ควรเลือกห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรองจาก
AABB (Association for the Advancement of Blood & Biotherapies) หรือ ISO/IEC 17025
เช่นเดียวกับที่ HealthSmile ร่วมมือกับ Endeavor DNA Laboratory (AABB-accredited, USA) เพื่อรับรองความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของผลตรวจทุกเคส


6. การตรวจ DNA เพื่อใช้ในทางกฎหมาย

นอกจากการตรวจเพื่อความมั่นใจในครอบครัวแล้ว ยังมีกรณีที่จำเป็นต้องใช้ผลตรวจ DNA ใน ทางกฎหมาย เช่น

  • คดีฟ้องให้บิดารับรองบุตร

  • คดีเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดู

  • การพิสูจน์สิทธิ์ในมรดก

  • การขอวีซ่าหรือเอกสารย้ายถิ่นฐานที่ต้องยืนยันสายสัมพันธ์ทางสายเลือด

🔹 ขั้นตอนสำคัญของการตรวจทางกฎหมาย

การตรวจประเภทนี้ ต้องเก็บตัวอย่างโดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเป็นทางการ และอยู่ภายใต้ “Chain of Custody” (ห่วงโซ่การควบคุมตัวอย่าง) ทุกขั้นตอนจะถูกบันทึกตั้งแต่เริ่มเก็บตัวอย่างจนถึงรายงานผล เพื่อป้องกันการสับเปลี่ยนหรือปลอมแปลงตัวอย่าง

ในวันเก็บตัวอย่าง จะมีการ

  • ตรวจสอบเอกสารยืนยันตัวตน (บัตรประชาชน/สูติบัตร)

  • ถ่ายรูปผู้ตรวจขณะเก็บตัวอย่าง

  • ลงชื่อยินยอมการตรวจของผู้ปกครอง (ในกรณีเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ)

ผลตรวจที่ได้จะสามารถ ใช้ยื่นต่อศาลได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ


7. ข้อควรรู้สำหรับผู้ปกครองก่อนตรวจ DNA ของเด็ก

แม้ว่าการตรวจ DNA จะเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ที่ตรงไปตรงมา แต่ในทางจิตใจและครอบครัว ยังมีสิ่งที่ควรคำนึงไว้ดังนี้

💬 7.1 คุยกันภายในครอบครัวก่อนตรวจ

หากผลตรวจอาจมีผลต่อความสัมพันธ์ ควรพูดคุยกันอย่างเปิดใจ โดยเฉพาะเมื่อเด็กโตพอที่จะเข้าใจ
การอธิบายอย่างอ่อนโยนและให้เหตุผลที่เหมาะสม จะช่วยลดผลกระทบทางจิตใจของเด็กได้มาก

💬 7.2 การให้ความยินยอมจากผู้ปกครอง

สำหรับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองตามกฎหมายก่อนทำการตรวจ
ในกรณีที่ผู้ปกครองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอม อาจต้องขอคำสั่งจากศาลตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 160

💬 7.3 เลือกห้องแล็บที่เชื่อถือได้

ไม่ควรเลือกเฉพาะราคาถูก เพราะความถูกต้องของผลตรวจขึ้นอยู่กับ มาตรฐานของห้องปฏิบัติการและขั้นตอนควบคุมคุณภาพ
ห้องแล็บที่มีใบรับรองระดับสากล เช่น AABB (สหรัฐอเมริกา) หรือ ISO/IEC 17025 (ระดับโลก)
จะมีการตรวจสอบกระบวนการทุก 2 ปี เพื่อรับรองความถูกต้องและความเป็นกลาง

💬 7.4 เข้าใจผลตรวจอย่างถูกต้อง

ผลตรวจ DNA ระบุเพียงความสัมพันธ์ทางพันธุกรรม แต่ไม่สามารถบอกความผูกพันทางอารมณ์หรือการเลี้ยงดูได้
ดังนั้น การตรวจควรใช้เพื่อสร้างความชัดเจนทางกฎหมายหรือแผนชีวิต มากกว่าการสร้างความขัดแย้ง


8. ข้อดีของการตรวจ DNA ตั้งแต่เด็ก

  1. ช่วยยืนยันสิทธิ์ทางกฎหมายของเด็ก
    เช่น การขอให้บิดารับรองบุตร หรือการรับมรดกอย่างถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627–1629

  2. วางแผนสุขภาพระยะยาว
    การทราบสายพันธุกรรมของบิดา ช่วยให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย หรือมะเร็งบางชนิด

  3. ลดความกังวลของครอบครัว
    เมื่อข้อสงสัยได้รับคำตอบที่ชัดเจน ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น

  4. ใช้เป็นเอกสารประกอบทางราชการ
    เช่น การยื่นขอสัญชาติ การขอรับสิทธิ์รักษาพยาบาล หรือเอกสารการเดินทาง


9. สรุป

“อายุ” ไม่ใช่ข้อจำกัดของการตรวจ DNA พิสูจน์ความเป็นบิดา
เพราะสามารถตรวจได้ตั้งแต่ ทารกในครรภ์ อายุครรภ์เพียง 7 สัปดาห์ ไปจนถึง เด็กทุกช่วงวัยและผู้ใหญ่
สิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ “วัตถุประสงค์ในการตรวจ” และ “มาตรฐานของห้องแล็บ” ที่จะทำให้ผลตรวจเชื่อถือได้ทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางกฎหมาย

หากตรวจเพื่อความสบายใจ — สามารถตรวจได้ทุกวัย ด้วยวิธีป้ายกระพุ้งแก้ม ไม่เจ็บ ไม่ต้องใช้เลือด
หากตรวจเพื่อใช้ในศาลหรือเรื่องสิทธิ์ทางกฎหมาย — ควรตรวจผ่านแล็บที่ได้รับการรับรองจาก AABB และมีการเก็บตัวอย่างตาม Chain of Custody


10. คำแนะนำจากแพทย์ HealthSmile

“การตรวจ DNA ไม่ได้เป็นเพียงการหาคำตอบทางพันธุกรรม
แต่คือจุดเริ่มต้นของความเข้าใจ ความมั่นใจ และการวางแผนอนาคตของครอบครัวอย่างมีสติ”
นพ.ประสิทธิ์ วิริยะกิจไพบูลย์, สูตินรีแพทย์และผู้บริหาร HealthSmile


หากคุณต้องการปรึกษาเรื่องการตรวจ DNA สำหรับเด็ก
ทีมแพทย์ของ HealthSmile ยินดีให้คำแนะนำโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
พร้อมบริการตรวจทั้งแบบ “เพื่อความสบายใจ” และ “เพื่อใช้ในศาล”
ด้วยความแม่นยำระดับสากลจากห้องแล็บ AABB Accredited – USA

📞 โทร. 089-874-9565
LINE: @HealthSmile
🌐 เว็บไซต์: healthsmile.co.th