Site icon HealthSmile.co.th ตรวจสุขภาพ

อัลตราซาวนด์พบปากแหว่ง (Cleft lip) จะอันตรายกับลูกไหม

ปากแหว่ง เป็นความผิดปกติที่บริเวณปาก มีช่องเปิดหรือรอยแยกที่ริมฝีปากบน อาจเป็นข้างเดียว หรือเป็น 2 ข้าง บางครั้งอาจจะแหว่งมากจนถึงในรูจมูก บางครั้งอาจพบร่วมกับเพดานโหว่ได้ หรือทั้งสองอย่าง บางกรณีที่มีอาการเป็นไม่มาก อาจจะไม่สังเกตเห็นได้ง่ายนัก

ปากแหว่งและเพดานโหว่เกิดขึ้นเมื่อโครงสร้างใบหน้าที่กำลังพัฒนาในทารกในครรภ์ปิดไม่สนิท โดยอุบัติการณ์ของปากแหว่ง (Cleft Lip : CL) ประเภทต่างๆ ทั้งที่มีหรือไม่มีเพดานโหว่ (± Cleft Palate : CP) คือ 1 ต่อการเกิดมีชีพ 700~1,000 รายทั่วโลก พบมากในเพศชายมากกว่าเพศหญิง และในคนผิวขาวมากกว่าคนเอเชีย และมากกว่าคนผิวดำ ถือเป็นความผิดปกติของใบหน้าและกะโหลกศีรษะของทารกในครรภ์ที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งเห็นได้จากการตรวจอัลตราซาวนด์ก่อนคลอด

โดยทั่วไป ภาวะปากแหว่งของทารกในครรภ์มักเกิดขึ้นเอง เป็นความบกพร่องแต่กำเนิดที่ไม่ได้สัมพันธ์กับความผิดปกติอื่นๆ แต่บางครั้งก็เกี่ยวข้องกับภาวะหรือกลุ่มอาการทางพันธุกรรมที่ผิดปกติของทารกได้หลายอย่าง ซึ่งหากพบปากแหว่ง หรือเพดานโหว่ หรือทั้งสองอย่าง ควรที่จะเข้ารับการตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซม

การวินิจฉัยจากอัลตราซาวนด์

การอัลตราซาวนด์ทารกในครรภ์ที่ช่วงอายุครรภ์ 20 สัปดาห์นั้น สามารถพบความผิดปกตินี้ได้ 16-93% โดยเปอร์เซนต์ที่พบนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของแพทย์ และความละเอียดของเครื่องอัลตราซาวนด์ที่ว่าจะตรวจพบได้หรือไม่ และถึงแม้จะมีประสบการณ์สูงพร้อมเครื่องมืออัลตราซาวนด์ดี ก็อาจจะพลาดได้เช่นกัน โดยการวินิจฉัยภาวะเพดานโหว่ จะยากกว่าการวินิจฉัยปากแหว่ง

ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับภาวะปากแหว่ง / เพดานโหว่

“ปากแหว่งข้างเดียว และไม่มีความผิดปกติอื่น
มักไม่สัมพันธ์กับความผิดปกติของโครโมโซม”

การตรวจเพิ่มเติม

1. การตรวจอัลตราซาวนด์โดยละเอียด

เพื่อหาความผิดปกติอื่นๆที่อาจมีอยู่ร่วมด้วย เช่น ลิ้นหัวใจรั่ว ผนังกั้นหัวใจรั่ว ไตผิดปกติ ฯลฯ

2. ตรวจโครโมโซม ด้วยวิธี Karyotyping และ Array CGH

ถึงแม้ว่าผลตรวจ NIPT เป็นความเสี่ยงต่ำก็ตาม ก็แนะนำว่าควรตรวจโครโมโซมด้วยวิธี Array CGH เพื่อหาความผิดปกติอื่นๆ ที่ NIPT อาจจะไม่สามารถตรวจพบได้

การตรวจติดตามขณะตั้งครรภ์

การติดตามผลระหว่างฝากครรภ์ ควรตรวจติดตามเป็นมาตรฐานกับแพทย์ที่เชี่ยวชาญ และการให้คำปรึกษาก่อนคลอดกับทีมสหสาขาวิชาชีพ เช่น กุมารแพทย์เพื่อวางแผนการดูแลหลังคลอด กรณีไม่สามารถรับนมได้(สำลัก) หรือกรณีพบความผิดปกติในอวัยวะอื่นๆร่วม ศัลยแพทย์เพื่อวางแผนการผ่าตัดแก้ไขหลังคลอด ฯลฯ

การคลอดบุตรที่เป็นปากแหว่ง / เพดานโหว่

สามารถคลอดบุตรได้ตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นการคลอดทางช่องคลอดตามธรรมชาติ หรือการผ่าตัดคลอด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทีมสูตินรีแพทย์และกุมารแพทย์ที่จะให้การดูแลและการคลอดบุตรที่ได้มาตรฐาน

การพยากรณ์โรค และภาวะแทรกซ้อนของทารกที่เป็นปากแหว่ง / เพดานโหว่

ขึ้นอยู่กับความรุนแรง และประเภทของความผิดปกติที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก หากมีแค่ปากแหว่ง / เพดานโหว่เพียงอย่างเดียว การพยากรณ์โรคดีและ สามารถมีชีวิตรอดตามปกติ ระยะเวลาที่เหมาะสมกับการผ่าตัดซ่อมแซมคืออายุ 3-6 เดือน

ปัญหาระยะยาวในเด็กที่มีปากแหว่งเพดานโหว่ ได้แก่ ความผิดปกติของฟัน ปัญหาการได้ยินและการดมกลิ่น ภาวะใบหน้าส่วนกลางเติบโตช้า และปัญหาทางสุขภาพจิต เช่น วิตกกังวล

กรณีมีความผิดปกติของคำพูด อาจต้องได้รับการผ่าตัดเพดานปากร่วมกับการฝึกพูด

กรณีความผิดปกติทางทันตกรรม ได้แก่ ฟันที่หายไป เกิน หรือผิดตำแหน่ง และจำเป็นต้องใส่เหล็กจัดฟัน

กรณีมีความผิดปกติในการได้ยิน อาจต้องทำการผ่าตัดตัดแก้วหูโดยใส่ท่อตัดแก้วหูทั้งสองข้างเพื่อปรับปรุงการได้ยิน

แนะนำให้มีการตรวจคัดกรองทางจิตวิทยาเป็นประจำ เพื่อประเมินพัฒนาการทางสติปัญญา พฤติกรรม และภาพลักษณ์ของตนเอง

การเกิดซ้ำในลูกคนถัดไป

กรณีเป็นปากแหว่ง / เพดานโหว่เพียงอย่างเดียว ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่นร่วม จะมีโอกาสเกิดปากแหว่ง / เพดานโหว่ซ้ำในลูกคนถัดไปประมาณ

กรณีมีความผิดปกติของอวัยวะอื่นๆ หรือเป็นกลุ่มอาการผิดปกติ (Syndromic) จะพบรูปแบบการถ่ายทอดความผิดปกตินี้ได้หลากหลาย เกิดได้ทุกรูปแบบ ได้แก่ ยีนเด่น (autosomal dominant), ยีนด้อย (autosomal recessive), X-linked dominant และ X-linked recessive ฯลฯ ขึ้นอยู่กับ Syndrome ที่ตรวจพบ

สาเหตุ

นักวิจัยเชื่อว่ากรณีส่วนใหญ่ของปากแหว่งและเพดานโหว่มีสาเหตุมาจากปฏิสัมพันธ์ของปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ในเด็กทารกจำนวนมาก ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

โดยยีนหรือโครโมโซมที่ผิดปกติที่เกิดขึ้น อาจจะเกิดจากการกลายพันธุ์เอง หรือเกิดจากการถ่ายทอดความผิดปกติมาจากมารดาหรือบิดาที่ทำให้เกิดภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ก็ได้  หรือเป็นส่วนหนึ่งของความผิดปกติของโครโมโซมตามที่ได้กล่าวไว้ด้านบนก็ได้

ปัจจัยเสี่ยง

มีหลายปัจจัยที่อาจเพิ่มโอกาสที่ทารกจะมีอาการปากแหว่งและเพดานโหว่ ได้แก่:

  • ประวัติครอบครัว : ผู้ปกครองที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่หรือเพดานโหว่จะมีความเสี่ยงสูงที่จะมีลูกที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่
  • การสัมผัสกับสารบางชนิดในระหว่างตั้งครรภ์ : ปากแหว่งและเพดานโหว่อาจมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในหญิงตั้งครรภ์ที่สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานยาบางชนิด
  • เป็นเบาหวาน : มีหลักฐานบางประการที่แสดงว่าผู้หญิงที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานก่อนตั้งครรภ์อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการมีลูกที่มีปากแหว่งเพดานโหว่
  • เป็นโรคอ้วนในระหว่างตั้งครรภ์ : มีหลักฐานบางอย่างที่แสดงว่าทารกที่เกิดจากผู้หญิงอ้วนอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่

การป้องกัน

  • พิจารณาการให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ ให้แจ้งแพทย์ก่อนตั้งครรภ์ แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้คุณไปพบผู้ให้คำปรึกษาทางพันธุกรรมซึ่งสามารถช่วยระบุความเสี่ยงของการมีบุตรที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่และเพดานโหว่ได้
  • ทานวิตามินก่อนคลอด หากคุณวางแผนที่จะตั้งครรภ์เร็วๆ นี้ ให้ปรึกษาแพทย์ว่าคุณควรรับประทานวิตามินก่อนคลอดหรือไม่
  • เลิกสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ การใช้แอลกอฮอล์หรือการสูบบุหรี่ รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า และยาเสพติดอื่นๆทุกชนิด ในระหว่างตั้งครรภ์เพิ่มความเสี่ยงต่อการมีทารกที่มีความพิการแต่กำเนิด

การมีทารกที่เกิดมาพร้อมกับภาวะปากแหว่งเพดานโหว่อาจทำให้อารมณ์เสียได้ แต่อาการปากแหว่งเพดานโหว่และเพดานโหว่สามารถแก้ไขได้ ในทารกส่วนใหญ่ การผ่าตัดหลายครั้งสามารถฟื้นฟูการทำงานได้ตามปกติและมีลักษณะที่ดูเป็นปกติมากขึ้นโดยมีแผลเป็นน้อยที่สุด

อ่านเพิ่มเติม

ปากแหว่ง เพดานโหว่ ตรวจด้วย NIPT หรือ NIFTY Test ได้ไหม

References

Cleft lip and cleft palate. (2022, September 15). Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/cleft-palate/symptoms-causes/syc-20370985

Kim, D. W., Chung, S.-W., Jung, H.-D., & Jung, Y.-S. (2015). Prenatal ultrasonographic diagnosis of cleft lip with or without cleft palate; pitfalls and considerations. Maxillofacial Plastic and Reconstructive Surgery37(1). https://doi.org/10.1186/s40902-015-0019-z

March of Dimes Birth Defects Foundation. (2006, January 7). Down Syndrome and cleft lip, palate most prevalent birth defects. Science Daily. https://www.sciencedaily.com/releases/2006/01/060106130421.htm

Nevado, J., Mergener, R., Palomares-Bralo, M., Souza, K. R., Vallespín, E., Mena, R., Martínez-Glez, V., Mori, M. Á., Santos, F., García-Miñaur, S., García-Santiago, F., Mansilla, E., Fernández, L., Torres, M. L. de, Riegel, M., & Lapunzina, P. (2014). New microdeletion and microduplication syndromes: a comprehensive review. Genetics and Molecular Biology37(1 suppl 1), 210–219. https://doi.org/10.1590/s1415-47572014000200007

Smarius, B., Loozen, C., Manten, W., Bekker, M., Pistorius, L., & Breugem, C. (2017). Accurate diagnosis of prenatal cleft lip/palate by understanding the embryology. World Journal of Methodology7(3), 93–100. https://doi.org/10.5662/wjm.v7.i3.93

The Fetal Medicine Foundation. (n.d.). The Fetal Medicine Foundation. Fetalmedicine.org. Retrieved May 24, 2024, from https://fetalmedicine.org/education/fetal-abnormalities/face/facial-cleft

Exit mobile version