ปัจจุบัน เราจะเห็นชั้นวางสินค้าในซุปเปอร์มาร์เก็ต มีผลิตภัณฑ์ที่กระตุ้นให้เรารักษาอวัยวะเพศของเราให้สะอาดและมีกลิ่นที่น่ารื่นรมย์ แต่ความเป็นจริง คือ ช่องคลอดของผู้หญิงไม่จำเป็นต้องมีกลิ่นหอมเหมือนทุ่งดอกไม้ และโดยปกติแล้วผู้หญิงอาจจะมีกลิ่นในช่องคลอดได้เล็กน้อยหรือบางครั้งไม่มีกลิ่นเลย แต่การมีกลิ่นคาวจากช่องคลอด หรือกลิ่นเหม็นอื่นๆจากในช่องคลอดอาจหมายความว่ากำลังมีโรคหรือความผิดปกติได้
กลิ่นของช่องคลอด และกลิ่นที่อวัยวะเพศเกิดจากอะไร?
ช่องคลอดนั้น ประกอบไปด้วยสารคัดหลั่งต่าง และแบคทีเรียชนิดดี อยู่ร่วมกันอย่างสมดุล เพื่อรักษาค่าความเป็นกรด-ด่างในช่องคลอด (pH) ให้สมดุล โดยในช่องคลอดที่มีสุขภาพดี ปกติ จะมีค่า pH อยู่ที่ประมาณ 4.5 คือเป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งการรวมกันของสารคัดหลั่งในช่องคลอดและแบคทีเรียสามารถปล่อยกลิ่นบางอย่างได้ กลิ่นเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นธรรมชาติและเป็นปกติ แต่มีบางครั้งที่กลิ่นเหม็นที่มากขึ้นก็เป็นสัญญาณของปัญหาในช่องคลอดได้
กลิ่นจากช่องคลอดที่ “ปกติ” เป็นอย่างไร?
ณ ปัจจุบัน เรายังไม่มีคำจำกัดความของกลิ่นจากช่องคลอดที่ปกติ ว่าเป็นอย่างไร แต่โดยส่วนใหญ่จะถือว่ากลิ่นนั้นปกติ ถ้าผู้อื่นอยู่ห่างจากช่องคลอดประมาณ 1 ฟุตแล้วไม่ได้กลิ่นของอวัยวะเพศ แต่หากว่ากลิ่นจากช่องคลอดนั้นนั้นฉุนหรือเหม็นมาก หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย เช่น ช่องคลอดหรืออวัยวะเพศเจ็บปวด หรือแสบร้อน หรืออาการคัน หรือมีตกขาวผิดปกติ ก็ควรจะได้รับการตรวจรักษาอย่างเหมาะสม
หากคุณผู้หญิงมีกลิ่นในช่องคลอดเล็กน้อย แต่ไม่มีอาการอื่นๆเกี่ยวกับช่องคลอด ก็อาจจะไม่ใช่สาเหตุที่น่ากังวล ซึ่งหากลองเสิร์ชในอินเตอร์เนต โดยที่ไม่ได้มีความรู้ก็อาจถูกล่อลวงให้ซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับสวนล้าง หรือใช้ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นในช่องคลอด แต่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจทำให้กลิ่นแย่ลงและทำให้เกิดการระคายเคืองและอาการทางช่องคลอดอื่นๆตามมาได้
ทางที่ดี คุณผู้หญิงควรจะวินิจฉัยสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นจากช่องคลอด ว่าเกิดจากสาเหตุใด และจะได้รักษาได้ตรงสาเหตุที่สุด เพื่อจะได้หายจากกลิ่นเหม็นน่ารำคาญ และที่สำคัญคือน่าอับอายด้วยค่ะ
สาเหตุของกลิ่นเหม็นจากอวัยวะเพศที่ไม่อันตราย
กลิ่นในช่องคลอดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกวันในระหว่างรอบเดือน กลิ่นอาจสังเกตได้ชัดเจนเป็นพิเศษหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หรือแม้แต่การออกกำลังกายและเหงื่อออกอาจทำให้เกิดกลิ่นในช่องคลอดได้
ช่องคลอดมีกลิ่นจากอาหารที่รับประทาน
สุภาษิตโบราณ “กินอย่างไร ได้อย่างนั้น (You Are What You EAT)” เป็นความจริง และการรับประทานอาหาร ก็ส่งผลต่อกลิ่นของอวัยวะเพศของคุณผู้หญิงด้วย กระเทียม หัวหอม หน่อไม้ฝรั่ง และแกงกะหรี่ เป็นอาหารที่มีกลิ่นไม่กี่อย่างที่รู้ว่ามีผลต่อกลิ่นของร่างกาย นอกจากนี้ คุณผู้หญิงอาจต้องสังเกตุอาหารเฉพาะถิ่นบางอย่าง เช่น ปลาร้า อาหารหมักดอง อาหารทะเล ฯลฯ ที่อาจทำให้ตกขาวมีกลิ่นมากขึ้นได้เช่นกัน
แต่กลิ่นที่เกิดจากการรับประทานอาหาร มักจะไม่อันตรายแต่อย่างใด เว้นแต่ว่าคุณมีอาการผิดปกติอย่างอื่นนอกจากมีกลิ่น ก็ควรที่จะตรวจหาสาเหตุอื่นๆก่อนที่มันจะลุกลามมากขึ้น
ยา / อาหารเสริม
มียาหลายชนิดที่ส่งผลต่อสุขภาพของช่องคลอดคุณผู้หญิง ทำให้เกิดความผิดปกติได้ เช่น
ยาฆ่าเชื้อ หรือยาปฏิชีวนะ (antibiotics) สามารถส่งผลกระทบต่อความสมดุลของแบคทีเรียดีที่อาศัยอยู่ในช่องคลอดของคุณผู้หญิง ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นและตกขาวผิดปกติได้
ยาแก้แพ้ (antihistamines) ในคุณผู้หญิงที่รักษาภูมิแพ้ การได้รับยาแก้แพ้นอกจากจะช่วยลดน้ำมูกได้แล้ว ตัวยาก็สามารถนำทำให้สารคัดหลั่งในช่องคลอดลดลง แห้งลง ซึ่งอาจมีผลต่อการเกิดกลิ่นได้
นอกจากนี้การรักษาด้วยสมุนไพรและน้ำมันหอมระเหยที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้ ก็สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นในช่องคลอดได้เช่นเดียวกัน
เหงื่อ
ผิวหนังรอบอวัยวะเพศของคุณผู้หญิง มีแนวโน้มที่จะเหงื่อออกมากเกินไป เมื่อเหงื่อรวมกับสารคัดหลั่งของช่องคลอด อาจทำให้มีกลิ่นอับหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ในช่องคลอดหรืออวัยวะเพศได้มาก ซึ่งจริงๆแล้วนี่เป็นกลิ่นตามธรรมชาติ แต่ก็อาจจะเป็นกลิ่นที่ไม่น่าอภิรมย์มากนัก เพื่อลดกลิ่นให้น้อยที่สุด คุณผู้หญิงควรเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากออกกำลังกายและสวมผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ฮอร์โมนของเพศหญิง จะมีปริมาณในร่างกายต่างกันไปในแต่ละช่วงของรอบประจำเดือน ทำให้แต่ละช่วงของรอบประจำเดือนก็จะมีกลิ่นที่แตกต่างกัน นอกจากนี้การรักษาด้วยฮอร์โมนจากยาคุมกำเนิดก็มีผลต่อค่า pH และกลิ่นในช่องคลอดเช่นกัน
วัยหมดประจำเดือนจะมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง ซึ่งทำให้เป็นโรคติดเชื้อราในช่องคลอด และ BV เพิ่มขึ้นได้มาก
ผ้าอนามัย หรือวัตถุต่างๆที่ถูกลืม ตกค้างอยู่ในช่องคลอด
หากมีอะไรตกค้างอยู่ในช่องคลอด จะมีกลิ่นหนึ่งที่เหม็นมาก ท่านที่เคยมีประสบการณ์ลืมเปลี่ยนผ้าอนามัยแบบสอดจะทราบดี อาจรู้สึกเหม็นเหมือนมีอะไรมุดเข้าไปตายในช่องคลอดของคุณผู้หญิง ซึ่งกลิ่นที่เหม็นมากนี้จะหายได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่นำผ้าอนามัย หรือวัตถุที่ตกค้างอยู่นั้นออก
หากลืมผ้าอนามัยแบบสอด หรือถุงยางอนามัยหลุดคาไว้ในช่องคลอดเป็นเวลานาน ก็สามารถนำไปสู่การติดเชื้อร้ายแรง ได้ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องพบแพทย์หากไม่สามารถดึงเอาออกได้ด้วยตนเอง
การสวนล้างช่องคลอด (Douching)
การสวนล้างช่องคลอด เพื่อกำจัดกลิ่นภายในช่องคลอดหรือด้วยเหตุผลอื่นใดก็แล้วแต่ มันจะเปลี่ยนความสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดไม่ดีเพิ่มขึ้นได้
ทางการแพทย์ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดภายในช่องคลอดของคุณ ไม่มี ความจำเป็นที่จะสวนล้างช่องคลอด ไม่ควรใช้น้ำมันหอมระเหย หรือยาฆ่าเชื้อ หรือยาใดๆสวนล้างภายในช่องคลอด เนื่องจากโดยธรรมชาตินั้นหากคุณผู้หญิงไม่ได้มีการติดเชื้อใดๆ ตัวช่องคลอดก็สามารถที่จะดูแลความสะอาดของตัวมันเองได้
หากช่องคลอดของคุณมีกลิ่นแต่ไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย คุณอาจลองดื่มน้ำเพิ่มขึ้น งดอาหารที่มีกลิ่น งดอาหารหมักดอง เพิ่มสุขอนามัยที่เหมาะสมโดยทำความสะอาดพื้นที่ภายนอกของช่องคลอด (บริเวณแคมใหญ่และแคมเล็ก) ด้วยสบู่อ่อนๆหรือสบู่สำหรับเด็ก หากกลิ่นยังคงมีอยู่อาจพิจารณาตรวจการติดเชื้อเพิ่มเติมด้วยตนเอง หรือพบแพทย์
สาเหตุของกลิ่นเหม็นจากอวัยวะเพศที่อันตราย ควรได้รับการตรวจ และรักษา
ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียคือการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มักพบในช่องคลอด เป็นภาวะทั่วไปของช่องคลอดที่อาจทำให้เกิดกลิ่นในช่องคลอดได้, การติดพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถทำให้เกิดกลิ่นในช่องคลอดได้เช่นกัน แต่การติดเชื้อรา มักไม่ทำให้เกิดกลิ่นในช่องคลอด แต่จะมีอาการคันมากเป็นอาการเด่น
จากการเปลี่ยนแปลง หรือการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด (BV : Bacterial vaginosis)
ภายในช่องคลอดผู้หญิง จะมีแบคทีเรียที่มีสุขภาพดีอาศัยอยู่ แต่ถ้ามีอะไรรบกวนในช่องคลอดก็จะทำให้แบคทีเรียที่ก่อโรค เช่น BV สามารถเข้าไปอยู่ในช่องคลอดแทนที่แบคทีเรียที่ดี ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นและอาการผิดปกติได้
BV ส่วนใหญ่เกิดจากการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย gardnerella vaginalis แต่ก็อาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียอื่นๆได้หลายชนิด
อาการของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด ได้แก่ การมีตกขาวสีเทาบาง ๆ ปริมาณมาก และมีกลิ่นเหม็นคาว คล้ายกลิ่นปลาเค็ม (Fishy odor) โดยกลิ่นนั้นจะเหม็นมากขึ้นเมื่อสัมผัสกับน้ำอสุจิของผู้ชาย หรือหลังมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นหากคุณผู้หญิงสังเกตเห็นว่ามีกลิ่นเหม็นหลังจากมีเพศสัมพันธ์ก็ควรจะสงสัยโรคนี้ไว้
การเป็น BV นั้นน่ารำคาญและสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่น ๆ แต่ว่าโรคนี้สามารถรักษาได้ง่ายด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะ
การติดเชื้อทริโคโมแนส หรือปรสิตในช่องคลอด (Trichomoniasis)
เป็นการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากปรสิตที่ชื่อว่า Trichomonas อาจทำให้เกิดกลิ่นคาวคล้าย BV หรือมีกลิ่นเหม็นอับได้ อาการทั่วไปอีกอย่างหนึ่งของการติดเชื้อชนิดนี้ คือการตกขาวสีเหลืองแกมเขียว
การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ (Sexually transmitted diseases : STDs)
เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ก็อาจจะทำให้ตกขาว หรือช่องคลอดมีกลิ่นเหม็นผิดปกติได้เช่นกัน โดยอาการของหนองใน หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ อาจพบว่ามีตกขาวผิดปกติ ปริมาณมากขึ้น มีแผลที่ปากช่องคลอด หรือบริเวณอวัยวะเพศ ปวดท้องน้อย หากเป็นรุนแรงอาจมีไข้ ปวดท้องอย่างรุนแรงได้
หากมีอาการตกขาวผิดปกติ ร่วมกับมีกลิ่นเหม็น แนะนำว่าควรตรวจหาสาเหตุ โดยหากอาการไม่รุนแรง อาจตรวจด้วยตนเองเบื้องต้นก่อน แต่หากมีอาการปวดท้องรุนแรง หรือมีไข้สูง หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย แนะนำว่าควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยโรคโดยเร็ว
สาเหตุอื่นๆที่พบได้น้อย แต่ก็ต้องระวังไว้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ
รอยทะลุระหว่างช่องทวารหนักและช่องคลอด (Recto-vaginal fistula) : เป็นภาวะที่พบไม่บ่อย เกิดจากการมีช่องเปิดทะลุกันระหว่างทวารหนักและช่องคลอด ซึ่งทำให้เศษอุจจาระไหลเข้าไปในช่องคลอดได้ การรั่วนี้ทำให้ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็น ซึ่งสาเหตุของรอยทะลุนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากการคลอดบุตรทางช่องคลอด และมีการบาดเจ็บต่อช่องคลอดจนมีรอยทะลุถึงทวารหนัก
มะเร็งในช่องคลอด และมะเร็งปากมดลูก (Vaginal cancer, Cervical cancer) : อาการมีอาการตกขาวที่มีกลิ่นเหม็นรุนแรง และ/หรือ มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดร่วมด้วยได้
วิธีตรวจวินิจฉัยกลิ่นเหม็นจากช่องคลอด หรือกลิ่นเหม็นจากอวัยวะเพศ
การตรวจวินิจฉัยกลิ่นเหม็นจากช่องคลอดมีหลายวิธี ในสมัยก่อน วิวัฒนาการของการตรวจยังไม่เทียบเท่าปัจจุบัน การตรวจจะใช้วิธีป้ายเอาสารคัดหลั่งหรือตกขาวในช่องคลอด ไปใส่ในสไลด์แก้ว แล้วหยดน้ำยาลงไปเพื่อนำไปดูโดยกล้องจุลทรรศน์หาเชื้อโรคที่ผิดปกติ จนถึงยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีสูงขึ้นจนสามารถตรวจ DNA ของเชื้อโรคก่อโรคที่อยู่ในช่องคลอดได้ ซึ่งมีความแม่นยำสูงกว่ามาก
การป้ายตกขาวไปใส่สไลด์แก้ว และหยดน้ำยา หรือย้อมสีดูเชื้อ (Wet smear, Gram stain)
ข้อดีของวิธีนี้ก็คือ ได้ผลเร็ว และราคาถูก แค่ใช้สไลด์แก้ว น้ำยาเล็กน้อย และกล้องจุลทรรศน์ แต่ประสิทธิภาพในการตรวจนั้นไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากเชื้อมีโอกาสตายสูงถ้าส่งไปตรวจช้า ทำให้ไม่เห็นว่ามีเชื้ออยู่ (เช่นกรณีเชื้อปรสิต Trichomonas) นอกจากนี้ยังต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้ดูด้วย ถ้าดูแบบลวกๆผ่านๆ ก็อาจจะไม่เห็นเชื้อได้เช่นกัน แพทย์บางท่านจึงไม่ค่อยเชื่อถือวิธีนี้นัก และมักจะให้การรักษาด้วยการให้ยาฆ่าเชื้อหลายขนานมากินร่วมกัน (หรืออาจจะมียาฉีดด้วย) เพื่อให้ครอบคลุมและฆ่าเชื้อหลายๆชนิดให้หมดได้ในทีเดียว ซึ่งก็แน่นอนว่า การรับประทานยาฆ่าเชื้อหลายๆขนานโดยไม่มีข้อบ่งชี้นั้น อาจก่อให้เกิดเชื้อดื้อยา หรือการแพ้ยารุนแรงได้ นอกจากนี้ยังอาจเสียค่าใช้จ่ายเกินกว่าเหตุได้
การเพาะเชื้อ (Bacterial/Viral Culture)
ขั้นที่ดีกว่าการตรวจด้วยสไลด์แก้ว ก็คือการส่งไปเพาะเชื้อ เพื่อหาว่าเชื้อนั้นมีชนิดใดบ้าง และมีการดื้อยาหรือไม่
ข้อดีของวิธีนี้ คือ สามารถรู้ได้อย่างเจาะจงว่าเป็นเชื้อใด และที่สำคัญคือหากเพาะเชื้อขึ้น ก็จะสามารถตรวจได้ว่า เชื้อที่เป็นอยู่มีภาวะดื้อยาชนิดใดหรือไม่ แต่ข้อจำกัดของวิธีนี้ ก็คือ จะไม่สามารถตรวจได้ กรณีที่เชื้อตายไปหมดแล้ว หรือป้ายไม่โดนบริเวณที่เชื้อยังมีชีวิต นอกจากนี้ยังต้องเก็บเชื้อในสารเพาะเชื้อชนิดจำเพาะ เช่น เชื้อบางตัวต้องเก็บไม่ให้โดนอากาศ (กลุ่ม Anaerobic bacteria) และอาหารเพาะเชื้อของแต่ละเชื้อแบคทีเรีย/ไวรัส ก็จะแตกต่างกัน แพทย์ต้องเป็นผู้เลือกสารเพาะเชื้อให้เหมาะกับสิ่งส่งตรวจและอาการของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถตรวจได้ด้วยตัวเอง ต้องไปพบแพทย์เท่านั้น
การตรวจ PCR (Polymerase Chain Reaction) เพื่อหาชิ้นส่วน DNA ของเชื้อ
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการตรวจที่ดีมากขึ้น สามารถตรวจได้ด้วยตัวเองที่บ้าน ด้วยการเก็บชิ้นส่วน DNA ของเชื้อที่อยู่ในช่องคลอด หรือเก็บปัสสาวะ ส่งทางไปรษณีย์เพื่อไปตรวจด้วยวิธี PCR (Polymerase Chain Reaction) ซึ่งจะสามารถตรวจได้ทั้ง DNA ของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสได้พร้อมๆกันหลายชนิด มีความแม่นยำสูง สามารถเก็บสิ่งส่งตรวจไว้ได้นานถึง 14 วัน โดยไม่มีผลต่อความแม่นยำของการตรวจ
สำหรับวิธีตรวจด้วยตนเองนี้ ค่อนข้างแพร่หลายในการตรวจแถวประเทศฝั่งยุโรปและอเมริกา เนื่องจากสะดวก ประหยัดกว่าการไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล และมีความแม่นยำสูง สามารถให้การรักษาโรคได้อย่างตรงจุด
ทางเลือกของการเก็บสิ่งส่งตรวจด้วยตนเองมีอยู่ 2 แบบ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของคุณผู้หญิง คือ 1.การใช้ไม่ป้ายเก็บสิ่งส่งตรวจจากภายในช่องคลอด (vaginal swab) หรือ 2.การเก็บปัสสาวะหลังตื่นนอน (First void urine) โดยจากงานวิจัยพบว่าทั้งสองวิธี มีประสิทธิภาพในการตรวจที่ไม่แตกต่างกัน (อ้างอิง)
สำหรับข้อจำกัดของการเก็บตรวจด้วยตนเอง คือ ในประเทศไทยที่มีสิทธิ์การรักษาฟรี การตรวจด้วยตนเองอาจจะมีราคาที่สูงกว่าการตรวจแบบเดิมๆที่ต้องไปพบแพทย์ตามสิทธิ์บัตรทองที่รักษาฟรี (แต่กรณีการรักษาฟรี แพทย์อาจต้องช่วยประหยัด ซึ่งแพทย์ก็อาจจะไม่ได้ส่งตรวจยืนยันโรคให้กับผู้ป่วย)
ใครสามารถตรวจสาเหตุของช่องคลอดกลิ่นเหม็น หรือตกขาวผิดปกติด้วยตัวเองได้บ้าง
-
- มีอาการไม่รุนแรง
-
- ไปพบแพทย์แล้ว แต่แพทย์ไม่ได้ตรวจให้อย่างละเอียด
-
- มีอาการผิดปกติที่อาจติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น คัน เป็นผื่น ตุ่ม เป็นฝี มีหนองไหล หรือเจ็บปวดที่อวัยวะเพศ ปัสสาวะแสบขัด มีตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น
-
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน เช่น ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย ถุงยางอนามัยรั่ว แตก หลุด หรือฉีกขาดขณะมีเพศสัมพันธ์
-
- มีพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยง เช่น เปลี่ยนคู่นอนบ่อย มีคู่นอนหลายคน มีคู่นอนที่เสี่ยงต่อการติดโรค
-
- ผู้ที่วางแผนแต่งงาน วางแผนการมีบุตร หรือต้องการตรวจก่อนมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนรักและทารกในครรภ์
อาการอย่างไรที่ควรไปตรวจที่โรงพยาบาลหรือคลินิกสูตินรีแพทย์
-
- มีไข้สูง หนาวสั่น
-
- ปวดท้องน้อยรุนแรง
-
- รักษาด้วยตัวเองแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้น
-
- สงสัยว่ากลิ่นเหม็นจากช่องคลอดเกิดจากมะเร็ง
-
- สงสัยโรคติดเชื้ออื่นๆ เช่น เอดส์ ร่วมด้วย
วิธีรักษากลิ่นเหม็นจากช่องคลอด หรือกลิ่นเหม็นจากอวัยวะเพศ
การปรับพฤติกรรม
ล้างเป็นประจำ
การทำความสะอาดช่องคลอดด้วยน้ำอุ่น หรือน้ำเปล่าก็เพียงพอแล้ว อย่าหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าคุณต้องการผลิตภัณฑ์ราคาแพงเพื่อความสะอาด ช่องคลอดมีสภาพเป็นกรดสูง (pH ประมาณ 4.5) ซึ่งตามธรรมชาติจะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ดีได้ แต่การใช้สบู่บางชนิดที่มีความเป็นด่างสูง อาจทำให้ความเป็นกรดในช่องคลอดลดลง ซึ่งนำไปสู่การเจริญเติบโตของแบคทีเรียไม่ดีได้
หลีกเลี่ยงสบู่และผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่มีกลิ่นหอม แนะนำให้ใช้สบู่ที่อ่อนโยนหรือสบู่เด็กในการล้างส่วนพับภายนอกของช่องคลอด
สวมกางเกงชั้นในให้พอดี ไม่หลวมหรือคับเกินไป และใช้ชุดชั้นในผ้าฝ้าย
กางเกงชั้นในและลูกไม้ไม่ใช่เสื้อผ้าที่ดีที่สุดสำหรับสุขอนามัยที่ดีของผู้หญิง เสื้อผ้าที่คุณใส่เข้านอนให้พิจารณาไม่สวมชุดชั้นในเลย หรือเลือกใส่ชุดชั้นในผ้าฝ้ายธรรมดา หลีกเลี่ยงชุดชั้นใน ถุงน่อง และผ้าคาดเอวที่รัดแน่น
รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
บ่อยครั้งที่ “กลิ่นในช่องคลอด” ไม่ได้มาจากช่องคลอดเลย แต่การมีเนื้อมากเกินไปบริเวณรอบพับและต้นขาด้านในเนื่องจากการมีน้ำหนักเกินสามารถเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นได้
เปลี่ยนไปใช้ผ้าอนามัยแบบสอดหรือถ้วยประจำเดือน หรือเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ
ในช่วงที่มีประจำเดือน การใช้ผ้าอนามัยแบบปกติ (ติดกับกางเกงใน) มักมีกลิ่นที่เด่นชัดกว่า คุณผู้หญิงอาจลองเปลี่ยนมาใช้ถ้วยอนามัย หรือผ้าอนามัยแบบสอด ในช่วงที่มีประจำเดือน หรือหากไม่สะดวก ก็ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ
ใช้ถุงยางอนามัยและปัสสาวะออกทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์
น้ำอสุจิสามารถทำให้ช่องคลอดระคายเคือง และทำให้เกิดกลิ่นหรือตกขาวได้ ดังนั้นการใส่ถุงยางอนามัยจะช่วยป้องกันได้ นอกจากนี้ให้หลีกเลี่ยงการสวนล้างหลังมีเพศสัมพันธ์ แค่ปัสสาวะออก และล้างทำความสะอาดปกติก็เพียงพอแล้ว
อย่าสวนล้างช่องคลอด
การสวนล้างหมายถึงการฉีดน้ำหรือของเหลวอื่นๆเข้าไปล้างภายในช่องคลอด โดยหวังว่ามันจะช่วยลดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จากช่องคลอดได้ แต่จริงๆแล้วแพทย์ไม่ให้ทำเช่นนั้น เพราะการสวนล้างอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องคลอดได้ นอกจากนี้ หากคุณมีการติดเชื้ออยู่แล้ว การสวนล้างสามารถดันแบคทีเรียเข้าไปในมดลูก ท่อนำไข่ หรือรังไข่ได้
เลือกรับประทานอาหาร
อาหารบางชนิดทำให้มีกลิ่นตัว หรือมีกลิ่นจากช่องคลอดได้ ให้ลองสังเกตุดูว่าถ้าคุณผู้หญิงรับประทานอาหารชนิดใดแล้วทำให้ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็น ก็ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารนั้นๆ
โดยอาหารที่พบบ่อยที่ทำให้ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็น เช่น อาหารหมักดอง (ปลาร้า ผลไม้ดอง) อาหารทะเล อาหารที่หวานๆ อาหารที่มีกลิ่นฉุน (กระเทียม หัวหอม เครื่องเทศบางชนิด แกงกะหรี่ เป็นต้น) งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การใช้ยา
ยาที่ใช้สำหรับการรักษาโรคนั้นมีอยู่หลายชนิด ขึ้นอยู่กับเชื้อที่พบ เช่น หากกลิ่นเหม็นเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ก็จำเป็นต้องให้ยาฆ่าเชื้อที่เฉพาะเจาะจงกับเชื้อแบคทีเรียก่อโรค โดยอาจจะมีรูปแบบ ยาเหน็บช่องคลอด ยารับประทาน ไปจนถึงยาฉีด
คุณผู้หญิงไม่ควรที่จะซื้อยามารับประทานเองจากร้านขายยา อย่างน้อย ควรให้เภสัชกรประจำร้านซักประวัติความผิดปกติของกลิ่นเหม็น ว่าสมควรที่จะต้องตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัดหรือสามารถลองให้ยาเพื่อรักษาภาวะกลิ่นเหม็นของช่องคลอดได้เลย (แต่หากเป็นร้านขายยาเถื่อนก็จะไม่มีเภสัชกรประจำ ดังนั้น ควรเลือกเข้าร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำการตลอดเสมอ)
แต่แน่นอนว่าการไม่ได้ตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด อาจทำให้การรักษาไม่ตรงจุดมากนัก และหากรักษาล่าช้า ก็อาจส่งผลให้การติดเชื้อเป็นรุนแรงมากขึ้น หรือการได้ยาฆ่าเชื้อที่ไม่ตรงโรค ก็อาจจะทำลายเชื้อดีที่อยู่ในช่องคลอด ทำให้กลิ่นเหม็นของคุณผู้หญิงไม่หาย หรือแย่ลงในระยะยาวก็เป็นได้
ที่มา :
Grad, A. I., Vica, M. L., Matei, H. V., Grad, D. L., Coman, I., & Tataru, D. A. (2015). Polymerase chain reaction as a diagnostic tool for six sexually transmitted infections – preliminary results. Medicine and Pharmacy Reports, 88(1), 33–37. https://doi.org/10.15386/cjmed-373