Site icon HealthSmile.co.th ตรวจสุขภาพ

รู้ไว้ไม่มั่วนิ่ม! 15 ข้อห้ามคนท้อง ความเชื่อผิดๆ ที่ผู้ใหญ่รุ่นเก๋าชอบแนะนำ

รู้ไว้ไม่มั่วนิ่ม! 15 ข้อห้ามคนท้อง ความเชื่อผิดๆ ที่ผู้ใหญ่รุ่นเก๋าชอบแนะนำ

รู้ไว้ไม่มั่วนิ่ม! 15 ข้อห้ามคนท้อง ความเชื่อผิดๆ ที่ผู้ใหญ่รุ่นเก๋าชอบแนะนำ

คุณพ่อ คุณแม่มือใหม่ คงเคยได้ยินความเชื่อ เรื่องข้อห้ามคนท้องโบราณ จากคนเฒ่า คนแก่ พี่ ป้า น้า อา ที่บอกเล่าต่อๆ กันมาบ้างใช่ไหมคะ และหลายๆ บ้านก็มักจะมีความเชื่อแปลกๆ สำหรับข้อห้ามคนท้อง ที่อาจจะขัดใจคุณพ่อ คุณแม่ยุคใหม่ และขัดกับหลักการทางแพทย์ หลักทางวิทยาศาสตร์ แต่ทว่าความเชื่อเกี่ยวกับข้อห้ามคนท้อง ที่ผู้ใหญ่ชอบแนะนำ เป็นความเชื่อที่ผิดหรือไม่

บทความนี้ได้รวบรวมความเชื่อผิดๆ ในขณะตั้งครรภ์ ที่ผู้ใหญ่ชอบแนะนำ มาไว้ให้คุณพ่อ คุณแม่ได้เช็กให้ชัวร์ๆ กันค่ะ

1.ห้ามเตรียมของก่อนคลอด ไม่เช่นนั้นลูกจะไม่ได้เกิด

คุณพ่อ คุณแม่หลายๆ คน อยากซื้อของเตรียมพร้อมไว้รอลูกเกิด เพราะสะดวกสบายมากกว่า แต่ก็มักจะเจอกับปัญหาที่ผู้ใหญ่ชอบห้ามปราม เพราะเชื่อกันว่าหากเตรียมของก่อนคลอด จะทำให้ลูกไม่ได้มาเกิด แท้จริงแล้วความเชื่อนี้ มีมูลเหตุข้อเท็จจริง จากสมัยก่อนที่มีอัตราการเสี่ยงแท้งสูง เพราะทางการแพทย์ยังไม่ได้รับการพัฒนามากนัก เมื่อเตรียมของก่อนคลอด อาจเป็นการสิ้นเปลือง และทำใจได้ยาก

ดังนั้น คุณพ่อ คุณแม่เบาใจได้ค่ะ การเตรียมของก่อนคลอดตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนช่วงเดือนสุดท้ายใกล้คลอด กลับส่งผลดีต่อตัวคุณแม่ เพราะช่วยลดความกังวล ไม่ลนลาน กับการจัดเตรียมของใช้สำหรับทารก และคุณแม่เองก็ยังสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก ทำให้ออกไปเลือกซื้อของที่ถูกใจ มาเตรียมของก่อนคลอดไว้ให้ลูกได้เอง

2.คนท้องห้ามไปงานศพ เพราะอาจมีวิญญาณตามมา

ข้อห้ามคนท้องโบราณ มักบอกว่า คนท้องห้ามไปงานศพ เพราะเชื่อกันว่าจะมีวิญญาณเร่รอนที่สิงสถิตอยู่ในวัดตามกลับมาด้วย หรือมาอาศัยเกิด หรือเอาทารกในครรภ์ไปอยู่ด้วย แต่ในข้อเท็จจริงคนท้องห้ามไปงานศพ เพราะงานศพเป็นงานที่โศกเศร้าเสียใจ ทำให้คนท้องที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย จากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง รู้สึกเศร้า หดหู่ใจได้ง่าย เสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าขณะตั้งครรภ์ และหลังคลอด อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของคนท้อง และทารกในครรภ์ตามมา จึงห้ามให้คนท้องไปงานศพนั่นเอง

3.คนท้องติดเข็มกลัด เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายเข้ามาทำร้ายลูก

ผู้ใหญ่หลายคน มักแนะนำให้คนท้องติดเข็มกลัดไว้ที่เสื้อบริเวณท้อง เพราะเชื่อว่าสามารถป้องกันวิญญาณเร่รอน สิ่งชั่วร้ายเข้ามาทำร้ายทารกในครรภ์ได้ แต่ข้อเท็จจริงคือ การติดเข็มกลัดคนท้อง เป็นการเตือนคนท้องว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ควรใช้ชีวิตไม่ประมาท และระวัดระวังมากขึ้น

นอกจากนี้การติดเข็มกลัดคนท้อง ยังเป็นการแสดงสัญลักษณ์บอกคนอื่นด้วยว่า กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งจะสามารถป้องกันอุบัติเหตุจากการเดินชน กระแทก และถูกเอื้อเฟื้อที่นั่งเมื่อต้องขึ้นรถสาธารณะ ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นการติดเข็มกลัดคนท้อง ก็ใช้เป็นสัญลักษณ์ของคนท้องเช่นเดียวกัน เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อคนท้อง เมื่อต้องเดินทางด้วยรถสาธารณะ ดังนั้น คนท้องติดเข็มกลัด เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย จึงอาจเป็นกุศโลบายจากผู้ใหญ่ ให้คนท้องระมัดระวังตัวมากขึ้น

4.คนท้องต้องอยู่ไฟหลังคลอด เพื่อปรับอุณหภูมิร่างกาย

หลายๆ คนคงคุ้นชินกับภาพ เมื่อคนท้องคลอดลูก จะมีการอยู่ไฟหลังคลอด แต่หลังๆ มา คุณพ่อ คุณแม่จะไม่ค่อยเห็นการอยู่ไฟหลังคลอด แต่ก็ยังมีบางบ้านที่ผู้ใหญ่ชอบแนะนำให้อยู่ไฟหลังคลอด เพราะคนในสมัยก่อน จะทำคลอดด้วยหมอตำแย แล้วไม่ได้มีการเย็บแผลช่องคลอด จึงต้องอยู่ไฟหลังคลอด เพื่อให้แผลสมานกัน แต่ในปัจจุบันไม่จำเป็น เพราะคลอดลูกที่โรงพยาบาล นอกจากนี้ยังมีผู้ใหญ่บางส่วนเชื่อว่า ควรทำการอยู่ไฟหลังคลอด เพื่อปรับอุณหภูมิร่างกาย หากไม่ได้มีการอยู่ไฟหลังคลอด คนท้องจะมีอาการหนาวใน ซึ่งจริงๆ แล้วอาการหนาวในไม่ได้เกี่ยวกับการไม่ได้อยู่ไฟหลังคลอด แต่เกิดขึ้นได้กับคุณแม่ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ไฟหรือไม่ก็ตาม เพราะเป็นผลมาจากฮอร์โมนคนท้องลดลง ดังนั้น การอยู่ไฟจึงไม่จำเป็น

5.ห้ามมีเพศสัมพันธ์ตอนท้อง เพราะจะทำให้แท้งลูก

ห้ามมีเพศสัมพันธ์ตอนท้อง ถือเป็นความเชื่อที่ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่า หรือคนรุ่นใหม่ก็ยังมีความเชื่อนี้อยู่ เพราะเชื่อกันว่าการมีเพศสัมพันธ์ตอนท้อง จะเกิดอันตรายต่อลูกในครรภ์ ซึ่งจริงๆ แล้วคุณพ่อ คุณแม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ตอนท้องได้ตามปกติค่ะ เนื่องจากข้อเท็จจริงทางการแพทย์ การมีเพศสัมพันธ์ตอนท้องไม่ได้ส่งผลอันตรายต่อทารกในครรภ์ เพราะทารกอยู่ในถุงน้ำคร่ำ ซึ่งช่วยป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ได้ แต่การมีเพศสัมพันธ์ตอนท้อง คุณพ่อ คุณแม่ควรเลือกใช้ท่วงท่าที่เหมาะกับสรีระของคุณแม่ และในกรณีบางคู่อาจมีข้อจำกัดในเรื่องของปัญหาสุขภาพ แนะนำควรทำการปรึกษาสูตินารีแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำจากคุณหมอจะดีที่สุดค่ะ

6.ดัดขาทารก เพื่อป้องกันขาโก่ง

ผู้ใหญ่หลายบ้าน มีความเชื่อกันว่า ถ้าดัดขาทารก จะช่วยแก้ปัญหาขาโก่งได้ เมื่อโตขึ้นเด็กจะมีขาเรียวสวย ซึ่งความเชื่อนี้มาจากที่ผู้ใหญ่ สังเกตเห็นว่าเด็กทารกแรกเกิดมีลักษณะขาโก่ง จึงกังวลไปไกลว่าโตขึ้นลูกจะขาโก่ง ขาไม่สวย การดัดขาทารกตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยแก้ได้ ซึ่งถ้าอิงตามหลักทางการแพทย์ ทารกแรกเกิดขาโก่ง เป็นเรื่องที่ปกติ เนื่องจากร่างกายของทารกตอนอยู่ภายในท้องแม่ อยู่ในท่าม้วนตัว เมื่อคลอดออกมาจึงมีลักษณะขาโก่ง แต่พอเด็กโตขึ้นลักษณะขาโก่งก็จะค่อยๆ ดีขึ้นตามพัฒนาการ นอกจากนี้การดัดขาทารก อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายของเด็กได้ ดังนั้น การดัดขาทารก เพื่อช่วยป้องกันขาโก่ง จึงไม่ควรทำ แต่หากคุณพ่อ คุณแม่ กังวล ไม่สบายใจ ควรทำการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด

7.โกนผมไฟ เพื่อให้ผมที่เกิดใหม่ดกดำ

ผู้ใหญ่หลายคนมักแนะนำให้คุณพ่อ คุณแม่ทำการโกนผมไฟให้เด็กทารกอายุครบ 1 เดือน ซึ่งเชื่อกันว่า หากทำพิธีโกนผมไฟแล้ว เด็กจะร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง เลี้ยงง่าย ไม่ดื้อ และจะมีผมที่เกิดใหม่ดกดำ ซึ่งการโกนผมไฟก็เป็นความเชื่อ จะทำหรือไม่ทำก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อ ความสบายใจของแต่ละบุคคล เพราะไม่ได้ส่งผลอันตรายต่อเด็ก แต่อาจจะต้องระวังเรื่องความสะอาดของใบมีด ส่วนข้อเท็จจริง การที่ลูกมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่ดื้อ ขึ้นอยู่กับอาหารการกิน การเลี้ยงดูของผู้ปกครอง และผมที่ดกดำ ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของคุณพ่อ คุณแม่เป็นหลัก แต่หลังจากมีการโกนผมไฟ เห็นว่าเด็กมีผมดกดำ เป็นเพราะผมที่ขึ้นใหม่เป็นตอแข็ง ทำให้ดูเหมือนคนผมหนา

8.คนท้องห้ามกินของดำ ลูกจะเกิดมาตัวดำ

คุณแม่หลายคนคงเคยได้ยินความเชื่อที่ว่า คนท้องห้ามกินของดำ ไม่เช่นนั้นลูกจะเกิดมาตัวดำ หรือเจอผู้ใหญ่บางคนทัก ในขณะที่คุณแม่กินอาหาร ของหวานที่มีสีดำ ไม่ว่าจะเป็น เฉาก๊วย ช็อกโกแลต และโอเลี้ยง ฯลฯ แล้วทักว่าระวังลูกเกิดมาจะตัวดำ ซึ่งบอกได้เลยว่าการที่ลูกมีผิวสีดำ ไม่ได้เกี่ยวกับอาหารที่คุณแม่รับประทานเข้าไปตอนตั้งครรภ์เลย เพราะสีผิวของมนุษย์ทุกคน ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมที่ได้รับมาจากคุณพ่อ คุณแม่ ทำให้ลูกที่เกิดมาอาจมีผิวสีขาว ผิวสีดำ แตกต่างกันออกไป

9.คนท้องกินน้ำมะพร้าว ลูกจะได้ไม่มีไข

คนท้องกินน้ำมะพร้าว จะช่วยให้ลูกที่คลอดออกมาไม่มีไข ความเชื่อนี้ยังไม่มีข้อเท็จจริงจากทางการแพทย์ แต่การที่ลูกมีไขเป็นเรื่องปกติ และถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะไขถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ Vernix caseosa ซึ่งทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว ป้องกันเชื้อโรคในช่วงแรกเกิด และจะค่อยๆ ลดลงได้เอง แต่การที่คนท้องกินน้ำมะพร้าว ก็ยังมีประโยชน์อย่างอื่น เช่น ช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนกลางอก ท้องผูก ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงตั้งครรภ์ แต่คุณแม่ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ควรกินเยอะเกินไป เพราะในน้ำมะพร้าวมีน้ำตาลสูง หากคนท้องกินน้ำมะพร้าวเยอะเกินไป เสี่ยงเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้

10.คนท้องควรกินเยอะๆ เผื่อลูกในครรภ์

แม่ท้องหลายๆ คน หรือผู้ใหญ่ มักมีความเชื่อว่าคนท้องต้องกินเยอะๆ น้ำหนักยิ่งเยอะยิ่งดี เพื่อที่ลูกน้อยจะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน แต่ความจริงแล้วคุณแม่ไม่ควรกินเยอะเกินไป ควรมีการควบคุมอาหารในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากน้ำหนักคนท้องเกินเกณฑ์มาตรฐาน อาจเสี่ยงเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ ดังนั้น คุณแม่ควรเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ และมีการควบคุมน้ำหนัก ให้อยู่ตามเกณฑ์น้ำหนักคนท้องที่กำหนด ดังนี้ ในช่วงไตรมาสแรก น้ำหนักคนท้องควรเพิ่มขึ้น 1 กก. ช่วงไตรมาส 2 น้ำหนักคนท้องควรเพิ่มขึ้น 4-5 กก. และช่วงไตรมาส 3 น้ำหนักคนท้องควรเพิ่มขึ้น 5-6 กก. หรือตลอดการตั้งครรภ์ไม่ควรเพิ่มขึ้นเกิน 12 กก.

11.คนท้องห้ามรัดเข็มขัดนิรภัย

คนท้องห้ามรัดเข็มขัดนิรภัย โดยเฉพาะแม่ท้องแก่ใกล้คลอด ข้อนี้เคยกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันจากหลายๆ คน เพราะความเห็นไม่ตรงกัน บางคนบอกว่าคนท้องห้ามรัดเข็มขัดนิรภัย เพราะกลัวว่าจะกดทับทารกใครรภ์ หรือบางคนบอกว่าเพื่อความปลอดภัย คนท้องควรรัดเข็มขัดนิรภัย จริงๆ แล้วคนท้องสามารถรัดเข็มขัดนิรภัยได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างมาก เพื่อความปลอดภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่การรัดเข็มขัดนิรภัยควรรัดให้ถูกวิธี โดยการจัดตำแหน่งสายรัดให้เว้นตรงกึ่งกลางหน้าท้อง วิธีนี้จะช่วยให้แม่ท้องไม่อึดอัด แถมยังปลอดภัยตลอดการเดินทางด้วยค่ะ

12.คนท้องห้ามเอกซเรย์-คนท้องเอกซเรย์ได้ไหม

คนท้องห้ามเอกซเรย์ ความเชื่อนี้อาจมาจากที่ผู้ใหญ่หลายท่าน เกิดความกังวลว่า หากมีการตรวจสุขภาพที่ต้องมีการเอกซเรย์ร่างกาย (X-Ray) พลังงานของรังสี อาจเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ คุณแม่หลายท่านพอได้ยิน หรือได้ฟัง อาจเกิดความกังวล และสงสัยว่า แท้จริงแล้วคนท้องเอกซเรย์ได้ไหม ข้อเท็จจริงคือ คนท้องสามารถเอกซเรย์ได้ แต่ควรทำเฉพาะที่แพทย์แนะนำ และควรมีการแจ้งให้แพทย์ทราบว่าตั้งครรภ์ก่อนทำการเอกซเรย์ เนื่องจากการเอกซเรย์ในขณะตั้งครรภ์ สามารถส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ แต่ขึ้นอยู่กับปริมาณของรังสี และอายุครรภ์ของคุณแม่ ดังนั้น ข้อสงสัยเรื่องคนท้องเอกซเรย์ได้ไหม คุณแม่หลายท่านคงหายสงสัยกันแล้วนะคะ

13.ให้ทารกดื่มน้ำเวลาอากาศร้อน

เวลาอากาศร้อน คุณแม่คงเคยเห็นผู้ใหญ่หลายท่านที่ช่วยเลี้ยงลูกเรา ป้อนน้ำให้ทารก เพราะเชื่อว่าจะช่วยคลายร้อนให้ทารกได้ และเรื่องนี้คงเป็นประเด็นคาใจของคุณแม่ เพราะเห็นว่าเด็กทารกยังเล็กอยู่ จึงไม่แน่ใจว่า สามารถป้อนน้ำได้หรือไม่ ทางการแพทย์มีข้อเท็จจริง และคำแนะนำไว้ดังนี้ค่ะ เด็กทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน มีอาหารหลักคือนมแม่ จึงไม่มีความจำเป็นต้องป้อนน้ำเพื่อคลายร้อน เนื่องจากนมแม่มีน้ำเป็นส่วนผสมมากกว่า 80% จึงทำให้ทารกแม้ไม่ได้ดื่มน้ำก็คลายร้อนได้ด้วยการดื่มนมแม่ ดังนั้น การดื่มนมแม่ย่อมมีประโยชน์มากกว่าให้ทารกดื่มน้ำ เพราะทารกอาจได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลต่อระบบประสาท และสมองตามมาได้

14.คนท้องต้องกินปลาแซลมอน ถึงจะมีโอเมก้า-3

เมื่อตั้งครรภ์ ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้คุณแม่ทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะปลา เพราะมีโปรตีน และโอเมก้า-3 ซึ่งช่วยส่งเสริมพัฒนาการสมองของลูก ผู้ใหญ่หลายท่าน รวมถึงคุณแม่ท่านอื่นๆ จึงอาจมีการแนะนำให้คุณแม่ด้วยกันทานปลาแซลมอน เพราะมีโอเมก้า-3 แต่ปลาแซลมอนอาจมีราคาสูง คุณแม่สามารถทานปลาน้ำจืดแทนปลาแซลมอนได้นะคะ อย่าง ปลาดุก ปลาช่อน ปลาสวาย ซึ่งเป็นปลาไทยที่หาได้ง่ายทั่วไป แถมราคาไม่สูงมาก และได้สารอาหารกรดไขมัน โอเมก้า-3 ที่สูงไม่แพ้ปลาแซลมอนเลยค่ะ

15.ลักษณะท้อง บอกเพศลูกได้

คนโบราณเชื่อว่า ลักษณะท้องสามารถบอกเพศลูกได้ เช่น หากคุณแม่มีลักษณะท้องกลม จะได้ลูกสาว หากคุณแม่มีลักษณะท้องแหลม ทายว่าจะได้ลูกชาย ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีมูลเหตุข้อเท็จจริง ที่พิสูจน์ได้ว่าลักษณะท้องจะสามารถบอกถึงเพศลูกในครรภ์ได้ ซึ่งตามหลักทางการแพทย์ หากคุณพ่อ คุณแม่อยากทราบเพศลูก โดยไม่ต้องลุ้นหลังคลอด คุณแม่สามารถทำการอัลตราซาวนด์เมื่ออายุครรภ์ 16 สัปดาห์ หรือตรวจ NIPT ได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งจะทำให้คุณแม่ทราบเพศลูกได้ตั้งแต่ในครรภ์ และทราบภาวะแทรกซ้อนของทารกในครรภ์ได้อีกด้วยค่ะ ที่สำคัญมีความแม่นยำสูง

นี่คือ 15 ข้อห้ามคนท้องโบราณ ความเชื่อผิดๆ ที่ผู้ใหญ่ชอบแนะนำ ที่เราได้รวบรวมมาให้ความรู้กับคุณพ่อ คุณแม่ทุกท่าน และเชื่อว่าหลายๆ ข้อ คงคุ้นชิน และคุ้นเคยกับคำบอกกล่าวของผู้ใหญ่กันมาบ้างใช่ไหมคะ ซึ่งบางข้อก็เป็นความเชื่อที่ถูกถ่ายทอดต่อๆกันมา ทำให้เมื่อจะอธิบายด้วยเหตุผล ก็อาจกลายเป็นประเด็นถกเถียงได้ ดังนั้นการคุยด้วยความประนีประนอม จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดนะคะ

อ้างอิงข้อมูล

https://bit.ly/3ASQIgK

https://www.rakluke.com/pregnancy-all/pregnancy-health/item/x-ray.html

https://www.rakluke.com/child-development-all/baby-development/item/new-born-and-drinking-water.html

https://bit.ly/3x4pVgc

Exit mobile version